top of page

จ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ มีภาระภาษีอะไรบ้าง?
วารสาร K SME Inspired NO.53 September 2018

การทําธุรกรรมระหว่างประเทศ อาจจะมีการจ่ายค่าบริการไปยังต่างประเทศ ซึ่งสิ่งที่จะต้องคํานึงถึงก็คือ ค่าบริการเหล่านั้น จะต้องถูกหัก ณ ที่จ่าย หรือต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ การหักภาษี ณ ที่จ่ายในความเป็นจริงนั้น จะต้องพิจารณาในรายละเอียดว่า จ่ายไปยังประเทศใด จ่ายค่าบริการประเภทไหน
ในการพิจารณาเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่ายในการจ่ายค่าบริการไปยังต่างประเทศนั้น  1.คือต้องพิจารณาว่า ค่าบริการนั้น จัดเป็นเงินได้ประเภท 40(2) จนถึง (6) หรือไม่ ถ้าหลุดจาก 5 ประเภทนี้แล้ว = ไม่ต้อง หัก ณ ที่จ่าย   2.แต่ถ้าตกอยู่ใน 5 ประเภทนี้ ยังต้อง พิจารณาต่อว่ากิจการของคู่ค้ารายนั้น ตั้งอยู่ในประเทศที่มีการจดอนุสัญญาภาษีซ้อนกับเราหรือไม่ = ถ้ามี อาจจะได้รับยกเว้น หรือลดอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย
สําหรับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็แค่พิจารณาว่าผลของงานบริการนั้นได้ถูกใช้ ในประเทศไทยหรือไม่ ถ้าคําตอบคือใช่ ก็ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม
จะเห็นได้ว่าการจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องระวังและเช็คให้ถี่ถ้วนว่ามีภาระภาษีอะไร อย่างใดบ้าง ซึ่งการตีความว่าเงินที่จ่ายนั้นเป็นเงินได้ประเทศใดหรือการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับอนุสัญญาภาษีซ้อน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนควรจะต้องปรึกษาคนในวิชาชีพที่มีประสบการณ์ช่วยแนะนําให้จะปลอดภัยกว่า

วารสาร K SME Inspired ฉบับ กันยายน 2561

จ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ มีภาระภาษีอะไรบ้าง?

ศิริรัฐ โชติเวชการ

ความน่าสนใจ

  • ในการทําธุรกรรมระหว่างประเทศ อาจจะมีการจ่ายค่าบริการไปยังต่างประเทศ

  • ค่าบริการใดบ้างที่เข้าข่าย จะต้องถูกหัก ณ ที่จ่าย หรือ ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • ตรวจสอบให้ดีจะได้ไม่ผิดต่อกฎหมาย และไม่เสียผลประโยชน์เพราะบางประเทศอาจมีข้อยกเว้น หรือ ลดอัตราภาษี

 

การทําธุรกรรมระหว่างประเทศ อาจจะมีการจ่ายค่าบริการไปยังต่างประเทศ ซึ่งสิ่งที่จะต้องคํานึงถึงก็คือ ค่าบริการเหล่านั้น จะต้องถูกหัก ณ ที่จ่าย หรือต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

กรณีนี้ขอกล่าวถึงการหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน จากประสบการณ์ที่เคยเจอ คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า การจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% แต่ในความเป็นจริงนั้น จะต้องพิจารณาในรายละเอียดว่า

  • จ่ายไปยังประเทศใด

  • จ่ายค่าบริการประเภทไหน

วิธีดูการหักภาษี ณ ที่จ่ายสําหรับการจ่ายค่าบริการ ให้ดูที่กฎหมายหลักก่อน คือมาตรา 70 ซึ่งมีใจความว่า

มาตรา 70

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศที่มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย และได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2)(3){4}(5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย

การเสียภาษีกรณีนี้ กฎหมายให้เสียโดยวิธีหักภาษี คือ

  • ผู้จ่ายเงินได้ดังกล่าวจะต้องหักภาษี จากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามวิธีการ และอัตราดังหัวข้อถัดไป

  • ทั้งนี้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้จ่ายเงินได้ก็ตาม ภาษีที่หักไว้ในกรณีนี้เป็นภาษีที่เสียเด็ดขาด จึงเสร็จสิ้นเป็นรายครั้งไป”

 

ในการพิจารณาเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่ายในการจ่ายค่าบริการไปยังต่างประเทศนั้น

 

1 คือต้องพิจารณาว่า ค่าบริการนั้น จัดเป็นเงินได้ประเภท 40(2) จนถึง (6) หรือไม่ ถ้าหลุดจาก 5 ประเภทนี้แล้ว

= ไม่ต้อง หัก ณ ที่จ่าย

 

2 แต่ถ้าตกอยู่ใน 5 ประเภทนี้ ยังต้อง พิจารณาต่อว่ากิจการของคู่ค้ารายนั้น ตั้งอยู่ในประเทศที่มีการจดอนุสัญญาภาษีซ้อนกับเราหรือไม่

= ถ้ามี อาจจะได้รับยกเว้น หรือลดอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย

สําหรับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็แค่พิจารณาว่าผลของงานบริการนั้นได้ถูกใช้ ในประเทศไทยหรือไม่

ถ้าคําตอบคือใช่ ก็ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

ตัวอย่าง

1.การจ่ายค่าโฆษณา

ถ้าบริษัทในประเทศไทยมีการจ่ายค่าโฆษณาใน Search Engine ให้กับบริษัท G. ในต่างประเทศ เรามาพิจารณาว่า ค่าโฆษณาจัดอยู่ในเงินได้ประเภทใด?

คําตอบคือ ค่าโฆษณา จัดอยู่ในเงินได้ประเภท 40(8) ซึ่งไม่ได้ถูกระบุอยู่ในมาตรา 70 ดังนั้น การจ่ายค่าโฆษณาดังกล่าวจึงไม่ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย และจึงไม่ต้องพิจารณาต่อว่า คู่ค้านั้นตั้งอยู่ในประเทศใด

 

ส่วนในการพิจารณาเกี่ยวกับการนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ให้พิจารณาว่า

บริการดังกล่าวนั้น ให้บริการในต่างประเทศ แต่มีการส่งผลของการให้บริการมาใช้ในประเทศไทยหรือไม่

 

แนววินิจฉัยอันน่ารักของกรมสรรพากรก็คือ

การโฆษณาบน Search Engine นั้น แน่นอนต้อง มีคนในประเทศไทยเห็น จึงถือว่าเป็นบริการ ในต่างประเทศที่นำผลของการบริการมาใช้ในราชอาณาจักร ดังนั้น

  • บริษัทผู้จ่ายเงินได้นี้ ต้องนําส่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของค่าบริการ ในนามของบริษัทในต่างประเทศ ด้วยแบบฟอร์ม ภ.พ.36

  • แต่ในขณะเดียวกันบริษัทผู้จ่ายเงินได้ก็สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้เช่นกัน

ตัวอย่าง

2 การจ่ายค่า Software

บริษัทในไทยซื้อ Software บัญชี จากคู่ค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา = Software บัญชี จัดเป็นเงินได้ประเภท 40(3) ค่าสิทธิ

  • ผู้จ่ายเงินได้นี้จึงมีภาระในการหัก ณ ที่จ่าย 15% ตามมาตรา 70

  • แต่ยังจ่ายเลยไม่ได้ ต้องมาดูต่อว่า ประเทศสหรัฐฯ นั้นมีการจดอนุสัญญา ภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่

ซึ่งในเว็บไซต์ของกรมสรรพากรระบุว่ามีจดกันไว้ ฉะนั้นก็ต้องไปดูต่ออีกว่าในอนุสัญญาภาษีซ้อนที่จดไว้กับประเทศสหรัฐฯ นั้น เขียนเกี่ยวกับเรื่อง Software ไว้อย่างไร

 

ปรากฏว่าเขาระบุว่าถ้าจ่ายค่า Software ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายเพียง 5%

ดังนั้น ในกรณีนี้

  • บริษัทผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5%

จากค่าบริการแล้วนําส่งกรมสรรพากรด้วย ภงด.54

  • แต่ถ้าคู่ค้าของเราอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย

ก็จะต้องโดนภาษีหัก ณ ที่จ่ายไป 15% เต็มๆ

 

ทีนี้มาดูกันว่าจะต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ก็พิจารณาว่าบริการนั้นได้ถูกนํามาใช้ ในประเทศไทยหรือไม่

แน่นอน คําตอบคือ Software นั้นถูกนํามาใช้ในประเทศไทย ดังนั้น บริษัทผู้จ่ายเงินได้นี้

ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของค่าบริการในนามของบริษัทในต่างประเทศด้วยแบบฟอร์ม ภ.พ.36 แต่ในขณะเดียวกันบริษัทผู้จ่ายเงินได้ก็สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้เช่นกัน เส้นตายของการนําส่งภาษีทั้ง 2 ประเภทนั้น คือภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

 

จะเห็นได้ว่าการจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องระวังและเช็คให้ถี่ถ้วนว่ามีภาระภาษีอะไร อย่างใดบ้าง ซึ่งการตีความว่าเงินที่จ่ายนั้นเป็นเงินได้ประเทศใดหรือการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับอนุสัญญาภาษีซ้อน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนควรจะต้องปรึกษาคนในวิชาชีพที่มีประสบการณ์ช่วยแนะนําให้จะปลอดภัยกว่า :

 

K SME Inspired #53 Page 29-32

bottom of page